ฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือมันกลับมาอีกแล้วครับ อย่างเมื่อวานก็ขึ้นไปถึง 800 อันตรายเหมือนเราสูบบุหรี่วันละ 20+ มวนเลยล่ะครับ ทำให้หลายๆ คนคงกำลังอยากซื้อเครื่องฟอกอากาศซักเครื่อง แต่ก็อาจสงสัยว่าจะเลือกซื้อแบบไหนดีกับฝุ่นที่สูงลิบขนาดนี้ เราเลยไปหาข้อมูลมาให้ดูครับ
เครื่องฟอกอากาศที่ขายกันอยู่ในปัจจุบันจะมีหลักๆ 2 ระบบครับ คือเครื่องฟอกอากาศแบบปกติ กับระบบแรงดันบวก ที่แต่ละแบบก้จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันครับ
1. เครื่องฟอกอากาศแบบปกติ
คือเครื่องกรองแบบที่ตั้งไว้ในบ้านที่เห็นกันทั่วๆ ไปครับ ตัวเครื่องจะดูดอากาศให้ไหลผ่านแผ่นกรองที่คอยดักจับฝุ่น PM2.5 เอาไว้ ทำให้อากาศที่ออกมาอีกฝั่งสะอาดขึ้น ข้อดีของมันคือใช้งานง่าย ซื้อมาแล้วเสียบปลั๊กตั้งค่าก็ใช้ได้ทันที โดยเครื่องฟอกอากาศปกติสามารถกรองฝุ่นออกไปได้สูงสุด 75% ครับ
แต่ข้อเสียคือเครื่องฟอกอากาศแบบนี้จะใช้งานได้ไม่ดีนักถ้าฝุ่น PM2.5 นอกบ้านมีค่าสูง อย่าง 800 เนี่ย กรองออกไป 75% ก็ยังเหลือตั้ง 200 อยู่ดีครับ หลายๆ บ้านจึงต้องซื้อกันมาหลายเครื่องกว่าจะเอาฝุ่นอยู่
2. เครื่องฟอกอากาศแบบแรงดันบวก
ความจริงแล้วหลักการทำงานไม่ต่างจากเครื่องฟอกอากาศธรรมดาเลยรับดูดลมเข้ามากรองเหมือนกัน แต่แบบแรงดันบวกตัวเครื่องจะมีส่วนที่ติดตั้งอยู่นอกบ้านเหมือนแอร์ครับ อากาศจะถูกกรองเอาฝุ่นออกก่อนเข้ามาในบ้าน ทำให้อากาศที่เข้ามาได้มีแต่อากาศบริสุทธิ์เท่านั้น การดูดอากาศเข้ามายังทำให้อากาศในบ้านมีมากกว่านอกบ้านจนเกิดแรงดันอากาศสกปรกออกไปทางรูและซอกต่างๆ ช่วยให้อากาศสกปรกเข้าบ้านไม่ได้ด้วยครับ (เป็นที่มาของชื่อระบบแรงดันบวก เพราะในบ้านมีแรงดันอากาศมากกว่านอกบ้านนั่นเอง)
ข้อดีของระบบแรงดันบวกคือหากติดตั้งถูกต้องจะสามารถฟอกอากาศให้สะอาดได้เกือบ 100% แม้ว่าค่าฝุ่นภายนอกจะสูง 200 หรือ 800 ค่าฝุ่นภายในก็จะถูกกรองให้เหลือเท่าๆ กันหมดครับ แต่ก็มีข้อเสียตรงต้องเจาะรูผนังตอนติดตั้งเหมือนกับเวลาเราติดแอร์ และตัวเครื่องจะดูดอากาศร้อนข้างนอกเข้ามาตลอดเวลาจึงอาจทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นครับ และราคารวมการติดตั้งก็มักแพงกว่าแบบปกติด้วย
เครื่องฟอกอากาศทั้ง 2 แบบก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันครับ ถ้าอยู่ในจังหวัดที่นานๆ ฝุ่นมาซักที อาจเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศแบบธรรมดาก็อาจจะเพียงพอ แต่ถ้าฝุ่นแรงมากๆ อย่างจังหวัดในภาคเหนือ อาจลองพิจารณาเครื่องแบบแรงดันบวกครับแพงหน่อยแต่เอาอยู่ครับ
ที่มา : เพจ Jones Salad